เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ธรรมะ คนที่มีจิตใจเป็นธรรมนะ เวลาลมพัดเขาก็เห็นเป็นธรรมได้ เขาเห็นเป็นธรรมเพราะจิตใจเขาเป็นธรรม จิตใจเขาเป็นธรรมเขาเห็นสภาวะสัจธรรมไง ดูเวลาลมพัดใบไม้ไหว ใบไม้มันแก่ เวลาลมพัดมันหลุดร่วงจากต้น ใบไม้มันยังมีการผลัดใบของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ถ้าใจคนเป็นธรรม สิ่งใดที่เป็นสัจธรรม มันเห็นแล้วมันสะเทือนหัวใจทั้งนั้นแหละ มันสะเทือนหัวใจ มันปลอบใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนหัวใจของเราไง

ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันทุกๆ คน เวลา ๒๔ ชั่วโมง คนจะใช้มันทำสิ่งใดล่ะ เวลาเราวัยทำงาน เวลาเรารัดตัวมาก ทำสิ่งใดเวลาจะล่วงไปเร็วมาก เวลาเราชราคร่ำคร่าขึ้นมา สิ่งที่เวลามันช้าแล้ว มันช้าเพราะอะไร เพราะเขาเกษียณจากการงาน พอเกษียณจากการงาน นี่ประเพณีของคนไทยนะ เวลาแก่เฒ่าขึ้นมา ไปวัดๆ ไปวัดขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อศึกษา เพื่อศึกษา เพื่อค้นคว้า เพื่อหาสัจธรรมในตัวเราเอง ในปัจจุบันนี้เวลาประเพณีวัฒนธรรม เราทำบุญกุศลๆ ทำบุญกุศลเพื่อบุญไง

บุญ คนที่มีบุญเป็นเครื่องดำเนิน กับคนที่มีบาปอกุศลเป็นเครื่องดำเนิน ถ้าคนที่มีบาปอกุศลเป็นเครื่องดำเนิน มันบีบคั้นหัวใจนะ เวลาทำสิ่งใดขึ้นมา สิ่งที่ทำเป็นความผิดพลาดขึ้นมาก็กดทับไว้ นั่งทับไว้ไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็น มันเป็นความระแวง มันเป็นความทุกข์ตลอดไป

แต่ถ้าทำคุณงามความดีๆ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำความดีท่านทำในป่าในเขา คนที่มีสัจธรรมนะ เขาทำของเขา เขาไม่ให้ใครรู้ เพราะคนรู้ขึ้นมาแล้วคนก็จะไปกวนเขา คนที่ทำคุณงามความดีเขาไม่ต้องการให้ใครไปกวนเขานะ เขาแอบทำๆ ไอ้พวกเราทำคุณงามความดี อยากให้เขารู้อยากให้เขาเห็นต่างๆ

๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เราใช้เวลาอย่างไร ๒๔ ชั่วโมงนี้

ถ้า ๒๔ ชั่วโมงของเรา เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ชีวิตนี้มันมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ตายแน่นอน เราขวนขวายขนาดไหน ดูสิ ทางวิชาการเขาศึกษามาเพื่อความเจริญของเขา เพื่อความสะดวก เพื่อคุณภาพชีวิตๆ...มันก็ถูกต้อง

เวลาโบราณขึ้นมา เวลาโรคระบาดขึ้นมา คนตายมหาศาลเลย แต่เพราะทางการแพทย์เจริญ ทำให้คนเรามันมีวัคซีน มียาป้องกัน ทำให้เราต่อสู้กับโรคร้ายได้ ชีวิตมันก็ว่ามีความมั่นคงๆ สิ่งที่ทำๆ ทำเพื่อความเจริญของโลก แต่ถ้าอยู่แล้วนะ เวลาอยู่ ชีวิต ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เวลามันเจ็บช้ำน้ำใจ เวลามันทุกข์มันยาก คนเราบีบคั้นขึ้นมานี้ทำลายตัวเองทั้งนั้นแหละ ทำลายตัวเองเพราะอะไรล่ะ

ทำลายตัวเองเพราะว่าเขาไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ เห็นไหม เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ทำร้ายตัวเราเอง แม้แต่เราทำร้ายคนอื่นเราก็ไม่ทำ เพราะเรามีศีล ๕ พอศีล ๕ ปาณาติปาตาฯ ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ทำให้เขาเสียชีวิต ไม่ทำทุกๆ อย่าง แล้วเรามาทำตัวเราเองทำไม นี่พูดถึงว่าศีล ๕ นะ

ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทำลายตัวเองไปแล้ว ดูสิ เวรกรรมมันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ดูสิ เรามีจิตใจเป็นสาธารณะ เห็นคนเขาทุกข์เขายาก เราอยากช่วยเหลือเจือจานเขาทั้งนั้นแหละ เวลาเราทุกข์เรายาก ทำไมเราไม่คิดช่วยเหลือเจือจานเราล่ะ ทำไมเราทุกข์เรายาก เราถึงทำลายมันล่ะ เราทำลายมันเลย เพราะมันทุกข์มันยาก มันทนไม่ได้ มันทนไม่ได้ มันทนไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ

ถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นความจริงๆ เป็นอย่างนี้ มันเป็นความจริงเป็นอย่างนี้ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ถ้ามีสติมีปัญญายับยั้งไว้ได้ เดี๋ยวทุกข์มันก็คลายของมันไป ถ้าคลายของมันไป เวลามันจะมาอีก เรากลัวแล้ว เรากลัวแล้วเราต้องหาเหตุหาผล หาทางป้องกัน หาทางป้องกันนะ เพราะมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ได้ดั่งใจมันก็ทุกข์ ถ้ามันได้ดั่งใจมันก็มีความสุขของมัน เวลามันได้ดั่งใจ มันมีความสุขของมัน ความสุขนั้นก็ไม่จริง เพราะความสุขนั้นเดี๋ยวมันก็แปรสภาพของมันไป มันไม่มีอะไรที่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่งเลย

ฉะนั้น ชีวิตของเรา เราเกิดมา จริงตามสมมุติเพราะเราเกิดมาจริงๆ เราเกิดมาจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สร้างสมบุญญาธิการมา จนสุดท้ายได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการเกิดและการตาย ทำคุณงามความดี การเกิดและการตาย สะสมบารมี เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ เวียนว่ายตายเกิด เราปิดกั้นไว้ไม่ได้ คำว่า “ปิดกั้นไม่ได้” จิตนี้มันต้องเวียนว่ายตายเกิดตามธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันนะ แต่ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์เขาพยายามพิสูจน์ว่าจิตนี้มาจากไหน การเกิด เกิดมาจากไหน แล้วก็พิสูจน์กันไม่ได้ ก็บอกว่ามันไม่มี มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราศึกษาแล้วว่าโลกเจริญๆ เราก็ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เราศึกษาแล้วเราก็เชื่อ วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ไม่ได้

แต่เวลาคนเราภาวนานี่พิสูจน์ได้ เวลาหลับตาขึ้นมา หลับตา พุทโธๆ เราหลับตาขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณมันย้อนได้ ถ้ามันย้อนได้จริงหรือเปล่า เออ! เราเห็นชาติที่แล้วเราเคยเป็นอย่างนั้น แล้วจริงหรือเปล่า เวลาคนฝัน ฝันขึ้นมาแล้วจริงหรือเปล่า

จริงหรือเปล่ามันยังเป็นอนิจจัง เรายังไม่มีเหตุมีผลรองรับ ไม่มีความรู้จริงรองรับ พอมันเห็นสิ่งใด ดูสิ เวลาฤๅษีชีไพรเขาระลึกอดีตชาติได้ ความระลึกอดีตชาติได้ มันระลึกได้ทั้งนั้นแหละ แต่มันจริงหรือเปล่า มันจริงหรือเปล่าล่ะ

แต่ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณคือระลึกอดีตชาติได้ จุตูปปาตญาณ เวลาจิตนี้ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ท่านรู้ของท่านได้ มันยังเป็นอดีตอนาคตอยู่ เวลาอาสวักขยญาณทำลายกิเลสอวิชชาความไม่รู้จริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทะลุปรุโปร่งหมดแหละ นี่มันรู้ที่มาที่ไป ถ้ามันรู้ที่มาที่ไป เวลาในสมัยพุทธกาล เวลาพระมาถามปัญหาท่าน อะไรมันสมควรอย่างนั้น เหมือนหมอ คนนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคอะไร ควรรักษาด้วยยาตำราสิ่งใด

นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยเขาเป็นแบบใด เขาเคยทำเวรทำกรรมมาอย่างใด ทำเวรทำกรรมมา ทำเวรทำกรรมมามันฝังใจ ถ้าท่านให้อุบายเข้าไปถึงจุดนั้นมันจะเข้าไปถึงใจดำ เข้าไปถึงสิ่งที่ฝังอยู่รากลึกในหัวใจ เวลาพิจารณาไปด้วยมรรคญาณ ด้วยปัญญา ด้วยมรรค ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยความชอบธรรมขึ้นไป เข้าไปถึงจุดนั้นมันจะไปสำรอก มันจะไปคายของมัน สิ่งที่มันไม่จริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนได้อย่างไร

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระไปถามปัญหานะ พระที่มีอำนาจวาสนา พระที่ไปถามด้วยธรรม ไม่ใช่พระไปถามด้วยความเป็นพาล พระเป็นพาลไปถาม “ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น”

“เราเคยสัญญากับเธอหรือว่าบวชแล้วเราจะต้องบอกเธอทุกอย่าง”

เขาบอก “จะสึก”

“สึกก็สึกไป”

มันมีในพระไตรปิฎก เวลาพระที่ไปถาม พระที่เขามีความมุมานะจริง แล้วเขามีโอกาสจะทำได้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้นำทางตลอดเลย แต่พระที่เป็นพาลๆ เป็นพาลบวชมาอย่างนั้น บวชมาแล้วไม่เอาจริงเอาจัง แล้วบวชแล้ว เวลาเห็นเขาถามก็จะไปถามตามเขา เห็นเขาถามอดีตชาติรู้ได้ก็จะไปถามตามเขา จะให้พระพุทธเจ้าบอก

พระพุทธเจ้าไม่บอกหรอก มันไม่เป็นประโยชน์ไง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์กับใครท่านไม่พูด ท่านจะพูดต่อเมื่อมันเป็นประโยชน์ เพราะพระองค์นั้นมีสัจจะ มีความจริง มีความมุมานะ แล้วมีโอกาสของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกอย่างนั้น พูดถึงว่าอนาคตังสญาณ รู้ถึงสิ่งที่มันเป็นเวรเป็นกรรมที่เขาสร้างมาที่เป็นจริตนิสัยที่มันผูกพันในใจของเขา

ฉะนั้น เวลาจะรู้จริง ไม่รู้จริง ถ้าเราระลึกอดีตชาติได้ เราต่างๆ ได้มันจริงหรือเปล่า มันจริงหรือเปล่าล่ะ ระลึกได้มันก็ฝันได้ มันก็จินตนาการได้ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าสิ่งใดที่รู้ วางไว้ ถ้ามันจะเข้ามาในคลองสายตาของเรา เรารู้สิ่งใดเราวางไว้ เราไม่มีเป้าหมายเพื่อจะรู้สิ่งที่เป็นอดีตมา ที่มันมาเกิดเป็นเรา เราอยากรู้สัจจะความจริง เราอยากชำระ

สิ่งที่ว่าเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันอย่างนี้ เวลามันทุกข์มันยากอย่างนี้ ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ภาวนามาเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเรา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน ท่านก็มุมานะของท่าน ทำความเพียรของท่าน จนท่านชำระล้างกิเลสของท่านไป เราก็ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เราก็จะทำของเรา เราจะทำความสงบของใจเราเข้ามา เราจะมีสติปัญญาของเราเข้ามา

เวลาถ้ามันมีสติปัญญา ขั้นของสมาธิ จิตมันมีสติปัญญาเข้ามามันก็สงบระงับเข้ามา ถ้าสงบระงับเข้ามา มีความสุข ถ้ามันระลึกอดีตชาติได้ ระลึกอดีตชาติได้ตรงนี้ ถ้ามันระลึกอดีตชาติไม่ได้ แต่มันสงบจริงหรือเปล่า ถ้าสงบจริง เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา นี่มันเข้ามรรคไง เข้าสู่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญามันอยู่ตรงนี้ ปัญญามันเกิดจากภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันสำรอก มันคายของมันออก มันเป็นความจริงขึ้นมา นี่เป็นความจริงขึ้นมา

เวลาสิ่งที่มันหมักหมมในใจ เราก็ทำความสงบระงับ ทำความสะอาดมัน แต่ความสะอาดนี้มันเป็นความสะอาดแบบโลกียปัญญา สะอาดแบบความรู้สึก ความคิดต่างๆ ที่มันเป็นภาระรุงรัง มันใช้ปัญญาไล่ต้อนเข้ามา เวลามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญามันสำรอก มันคายสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด มันคายทิฏฐิ คือว่าอนุสัยที่มันเป็นเนื้อเดียวมากับจิต มันเป็นเนื้อเดียวมากับจิต มันเป็นเนื้อมากับปฏิสนธิจิต มันเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรมที่มันได้สร้างสมมา สิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรม พันธุกรรมของมันที่มันฝังมากับจิต จิตใต้สำนึกที่แทงเข้าไปในจิต เวลาปัญญามันเกิดอย่างนี้มันสำรอก มันคายของมัน ถ้ามันคายอย่างนี้ นี่ผู้ที่มันเป็น

ดูสิ เวลาคนทำดี-ทำชั่วขึ้นศาล ศาลตัดสิน ใครเป็นคนรับผิดล่ะ? ก็คนที่กระทำใช่ไหม ปฏิสนธิจิต เวลาที่มันเวียนว่ายตายเกิดของมัน มันเวียนว่ายตายเกิดไปด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ตัวของมัน เวลาสติปัญญามันเข้าไปสำรอก มันคายของมันออก เวลากิเลสมันคายออก มันรู้จริง มันเห็นจริง มันทึ่ง นี่ภาวนามยปัญญา ถ้ามันรู้จริง เห็นจริงอย่างนี้แล้วมันจะไปสงสัยไหมว่าสิ่งที่ว่าอดีตชาติจริงหรือไม่จริง มันจะไปสงสัยอะไร

ก็สิ่งที่เราเป็น แล้วเราสำรอกคาย พอคายแล้วมันเป็นปัจจุบัน มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง มันไม่มีความลำเอียงไง มันไม่มีว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ใช่หรือไม่ใช่ มันไม่มีสิ่งที่เข้าไปให้ค่า มันเป็นความจริงของมัน ถ้าความจริงของมัน ถ้าเราทำอย่างนี้ เราดูแลหัวใจของเราอย่างนี้ ๒๔ ชั่วโมง เราทำเพื่อประโยชน์กับเราอย่างนี้

สิ่งที่เราทำนะ เวลาโลกเราเกิดมา เราเกิดมาก็ต้องมีหน้าที่การงาน เราก็ทำของเรา หน้าที่การงานของโลกนะ แต่อย่างนี้มันเป็นเรื่องโลก มันมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันก็มีการขึ้นการลงโดยธรรมชาติของมัน หัวใจของเรามันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มันก็เป็นเหมือนกัน

แต่ถ้าเราจะภาวนาจะเอาใจของเราล่ะ สิ่งที่ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้าเรามีสติปัญญารักษาเหตุไว้ รักษาธรรมไว้ได้มันก็มีความสงบระงับ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

ถ้าเราเป็นฆราวาสนะ แค่เราทำใจเราให้สงบ เรามีที่พึ่งที่อาศัย อย่างนี้มันก็พออยู่พอกินแล้วล่ะ แล้วถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราใช้ปัญญาไป มันเกิดมรรคญาณ เกิดการแยกแยะ เกิดการวิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาที่รู้แจ้ง รู้แจ้งในใจของเรา รู้แจ้งในที่มืดบอด รู้แจ้งที่มันหลับหู หลับตาเวียนว่ายตายเกิด มันไปรู้แจ้ง มันไปสำรอก มันไปคายของมัน เราเอาตรงนี้ไง ถ้าเอาตรงนี้ขึ้นมาได้ มันเป็นจริงขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบรรลุธรรม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า มันกราบมาจากหัวใจนะ มันลึกลับมหัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมท่านรู้ได้ เพราะมันลึกลับมหัศจรรย์ ท่านวางไว้ให้เราก้าวเดินมา มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้งนะ เราทำได้เองนี่แหละ เราทำได้เอง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหนถึงมารื้อสัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมา แล้ววางธรรม คือบอกแนวทางไว้ แล้วเราก็ขวนขวายประพฤติปฏิบัติ พยายามของเรา เต็มที่ของเรา เราทำของเราทั้งนั้นแหละ เราเป็นคนทำเอง ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดจากเรา เราเป็นคนขวนขวาย เราเป็นคนตั้งใจ เราเป็นคนประพฤติปฏิบัติ มันเป็นความจริงขึ้นมา

แต่เวลาเป็นความจริงขึ้นมา สัจธรรมมันปรากฏขึ้นมาในใจแล้ว ทำไมเรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมระลึกถึงบุญคุณของท่านล่ะ ก็ท่านบอกไว้ ท่านวางแนวทางนี้ไว้ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใครจะมารู้ล่ะ มันถึงซาบซึ้ง ทั้งๆ ที่เราทำเองนะ

แต่ถ้าทำผิดล่ะ เวลาทำผิด ทำด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำด้วยความคาดหมาย ด้วยความด้นเดาของเรานะ แล้วก็มาโทษนะ “มันจะมีจริงหรือไม่มีจริง” มันโทษไปหมดเลย เวลาคนพาล เวลาคนพาลข้างนอกมันก็พาลข้างนอก เวลาพาลข้างใน ใจมันพาล ทำอะไรมันผิดพลาดไปหมดล่ะ “แล้วมันจะมีจริงได้อย่างไรล่ะ มรรคผลมันจะมีจริงหรือ ความดีจะมีจริงหรือ ก็ไม่จริง”

ถ้าจริงของเรา เอาให้จริงสิ ปัญญามันจะเกิดได้ต่อเมื่อเรามีความเข้มข้น เรามีสติปัญญาเข้มงวดกับมัน เข้มงวดกับจิต เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมาเป็นของเราเองนะ โอ้โฮ! มันบานขึ้นมาจากกลางหัวใจ มันมหัศจรรย์มาก พอมันบานขึ้นมากลางหัวใจ แล้วอะไรจะปิดบังมันล่ะ

พอปิดบังขึ้นมา ปัญญาอย่างนั้น นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากใจ ปัญญาเกิดจากการภาวนา มันเป็นปัญญาของเราเอง ปัญญาของเราเอง แต่เราก็ต้องใช้แนวทางการศึกษา เราเป็นชาวพุทธ เราสร้างบารมีมา เราใช้แนวทาง เราใช้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนา แก้วสารพัดนึกเป็นแนวทางของเรา แต่เวลามันเป็นมันต้องเป็นจากความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยอุตสาหะจากเราเอง แล้วมันบานขึ้นมากลางหัวใจ

แล้วเวลาบานแล้วทำไมกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ ทำไมเคารพบูชาล่ะ

เคารพบูชามาก หลวงปู่มั่นท่านเคารพของท่านมาก แต่เวลาท่านสั่งสอนลูกศิษย์ ท่านเพียงแต่เผดียง เผดียงไว้ว่านั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าให้กิเลสมันหน้าด้านไปยึดว่าเรารู้เราเห็นไง เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็เอาสิ่งนี้มาล่อ เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้ว มันก็เป็นจินตนาการไง ท่านเผดียงไว้ไม่ให้กิเลสมาหลอกพระองค์นั้น เผดียงไว้ไม่ให้กิเลสมาหลอกในหัวใจของนักปฏิบัติคนนั้น ท่านถึงเผดียงเอาไง

แต่ท่านเผดียงเพื่ออย่างที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านบรรลุธรรมแล้วท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า นี่ก็เหมือนกัน ท่านทุกข์ท่านยากมาก่อน ท่านเผดียงไว้ไม่ให้กิเลสมันหน้าด้าน มันไปสวมรอย

แต่เวลาทำขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา ปัญญามันบานกลางหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณ ปัญญาญาณมันบานขึ้นมากลางหัวใจ ใครจะปิดใครจะบังล่ะ มันเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ใครจะมาฉกฉวย แย่งชิง ดูถูกเหยียดหยาม นั้นมันเป็นโลกธรรม ๘ นั้นเป็นความเห็นของเขา แต่ความจริงในใจดวงนั้นก็เป็นความจริงในใจดวงนั้น ความจริงเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริงในการประพฤติปฏิบัติของเรา ๒๔ ชั่วโมงของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง